Thursday, July 23, 2015

น้ำตาไหล แม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขียนจดหมายนับไม่ถ้วนถึงลูกในอนาคต




แม่อเมริกันป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ใช้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่เขียนจดหมายไว้ให้ลูกอ่านในอนาคต

           เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษ เผย เรื่องราวสุดซาบซึ้งเรียกน้ำตา คุณแม่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายได้ทยอยเขียนจดหมายถึงลูกสาวที่เธอรัก ทุกวัน หวังให้ลูกสาวได้เปิดอ่านในโอกาสต่าง ๆ เมื่อเธอจากโลกนี้ไปแล้ว มีทั้งจดหมายสุขสันต์วันเกิด ยินดีที่เรียนจบ สุขสันต์วันแม่ แม้แต่คำยินดีวันแต่งงานของลูกสาวก็ยังเตรียมไว้ให้พร้อม

 
           ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน 2556 ฮีทเธอร์ แมคมานามี คุณแม่วัย 35 ปี จากรัฐวิสคอนซิน สหรัฐฯ ได้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 และมันลุกลามรวดเร็วมาก ไม่นานเซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปยังตับ และกระดูก ไม่สามารถเยียวยาใด ๆ ได้อีกแล้ว แม้ว่าคุณหมอจะสามารถยื้อเวลาชีวิตของเธอได้ยาวเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่ดีที่เธอจะอยู่ได้อีกไม่นาน ไม่ได้เห็นการเติบโตของไบรอันนา ลูกสาววัย 4 ขวบของเธอได้นานนัก

            เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะจากไปอีก ไม่ช้า ฮีทเธอร์จึงได้ทยอยเขียนจดหมายถึงไบรอันนา เพื่อให้เธอได้อ่านในโอกาสต่าง ๆ ในอนาคต และจดบันทึกทุกเรื่องราว ทุกความทรงจำดี ๆ ในชีวิตของเธอ ในช่วงที่ครอบครัวได้อยู่กันอย่างอบอุ่น

           ฮีทเธอร์เขียนคำอวยพรในทุกโอกาส ในรูปแบบของการ์ดบ้าง จดหมายบ้าง เผื่อไว้ให้ไบรอันนาได้อ่าน เพื่อให้ลูกสาวที่เธอรักได้รู้สึกว่าเธอไม่เคยจากไปไหน ยังคงเป็นกำลังใจและคอยแสดงความยินดีกับทุกย่างก้าวของชีวิต ต่อจากนี้ ไม่ว่าไบรอันนาจะฉลองวันเกิด จะป่วย จะอกหัก จะเรียนจบ จะแต่งงานเริ่มต้นชีวิตครอบครัว เธอจะได้อ่านข้อความของแม่ผู้จากไปเสมอ และนั่นจะเป็นกำลังใจให้กับเธอได้ทั้งชีวิต

 
           ฮีทเธอร์บอกว่า คนส่วนใหญ่ก็แค่ตาย แล้วทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแค่นั้น แต่เธอโชคดีที่ได้มีเวลาเตรียมตัวตาย มีเวลาได้ทำอะไรไว้ให้กับครอบครัวของเธอก่อนตาย ดังนั้นเธอจึงต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะพอทำได้ และสำหรับจดหมายที่เธอฝากไว้ให้ลูกอ่าน ก็ขึ้นอยู่กับลูกเลยว่าจะอ่านมันไหม ลูกอาจจะไม่อยากอ่านก็ได้ แต่อย่างน้อย ถ้าหากวันหนึ่งลูกอยากอ่านมันเมื่อไร จดหมายของเธอก็พร้อมจะให้ลูกได้อ่านเสมอ..


ภาพจาก Heather McManamy
http://hilight.kapook.com/view/123796

No comments:

Post a Comment